วันอังคารที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560

ท้องผูกทําไงดี แก้ง่าย ๆ แค่เปลี่ยนพฤติกรรม

ท้องผูก

ท้องผูกทําไงดี แก้ง่าย ๆ แค่เปลี่ยนพฤติกรรม

          เมื่อสาเหตุหลัก ๆ ของอาการท้องผูกเกิดจากพฤติกรรมของผู้นั้น การจะแก้ปัญหาก็ต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลมด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง ดังนี้ 
           1. ทานอาหารที่มีกากใยมาก ๆ เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ถั่ว ฟักทอง ลูกพรุน ข้าวโพด แอปเปิล ฝรั่ง มะละกอ เป็นต้น เพื่อจะช่วยเพิ่มเส้นใยการขับถ่าย โดยอาหารที่มีกากมากจะต้านทานการย่อยของน้ำย่อยที่จะไปดูดน้ำภายในลำไส้ใหญ่ ส่งผลให้ลำไส้บีบตัวขับถ่ายอุจจาระได้รวดเร็ว แนะนำให้ทานใยอาหาร 20-30 กรัมต่อวัน

           2. หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายได้เคลื่อนไหว และทำงานได้ดีขึ้น เมื่ออวัยวะต่าง ๆ ทำงานได้ดีขึ้น ก็จะไปส่งผลให้ลำไส้ขยับเคลื่อนไหวได้ดีขึ้นตามไปด้วย ทำให้อาหารส่งผ่านไปได้สะดวก หากนั่งนิ่งอยู่เฉย ๆ ลำไส้ไม่ได้เคลื่อนไหว กากอาหารเหล่านั้นก็จะยิ่งแข็งค้างอยู่ในลำไส้ ทำให้ท้องผูกได้ง่าย ทั้งนี้ หากไม่มีเวลามาก แนะนำให้เดินออกกำลังกายสัก 20-30 นาทีก็พอจะช่วยให้ลำไส้ได้เคลื่อนไหวแล้ว
 
           3. หากรู้สึกปวดอุจจาระให้เข้าห้องน้ำทันที อย่ากลั้นไว้ เพราะยิ่งรอนาน ยิ่งเพิ่มอาการท้องผูก 

           4. ฝึกเข้าห้องน้ำขับถ่ายทุกเช้าให้เป็นกิจวัตร โดยควรนั่งถ่ายอย่างผ่อนคลายประมาณ 10 นาที ไม่ควรเร่งรีบเกินไป 

           5. ดื่มน้ำให้มาก ๆ เราคงเคยได้ยินคนแนะนำให้ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว ซึ่งนอกจากจะช่วยเรื่องอื่น ๆ แล้ว การดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว ยังช่วยไม่ให้ท้องผูกด้วย เพราะน้ำจะไปช่วยให้กากอาหารอ่อนตัวลงได้ 

           6. งดดื่มน้ำชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้มีสารที่ทำให้ลำไส้บีบตัวน้อยลง แต่จะไปกระตุ้นให้ปัสสาวะบ่อย ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ ส่งผลให้อาการท้องผูกตามมา

           7. ยาระบาย หรือยาถ่าย สามารถใช้ได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ไม่ควรใช้เป็นระยะเวลานาน ๆ เพราะไม่ได้ช่วยรักษาอาการท้องผูกให้หายขาด แต่กลับยิ่งทำให้ร่างกายไม่ถูกกระตุ้นให้ขับถ่ายตามเวลาที่ควรจะเป็น เพราะลำไส้จะชินต่อยากระตุ้นพวกนี้ หากมีอาการท้องผูกขึ้นมาอีกก็ต้องใช้ยาแรงขึ้นเรื่อย ๆ

           8. พยายามลดความเครียดลง ทำจิตใจให้เบิกบาน แจ่มใส 

Tip เด็ด ๆ พิชิตอาการท้องผูก

วิธีแก้ท้องผูก

 Tip เด็ด ๆ พิชิตอาการท้องผูก
          - เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ยังไม่ต้องแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว (ห้ามดื่มน้ำเย็น) เพราะการดื่มน้ำตอนท้องว่างจะช่วยให้ลำไส้บีบรัดตัวได้ดีขึ้น ทำให้รู้สึกปวดอุจจาระ

          - บริหารร่างกายในตอนเช้า ด้วยการยืนตรง หายใจเข้าลึก ๆ แล้วก้มลง หายใจออก เอามือเท้าเข่าไว้ แขม่วท้องจนเหมือนหน้าท้องติดสันหลัง

          - ขณะนั่งอยู่บนโถส้วม ให้ใช้ฝ่ามือนวดหน้าท้อง โดยวนตามเข็มนาฬิกาหลาย ๆ รอบ แขม่วท้องไว้ด้วย 

          - ส้วมนั่งยองจะช่วยทำให้ขับถ่ายได้ง่ายกว่าส้วมชักโครก เพราะจะทำให้ลำไส้ใหญ่ส่วนปลายอยู่ในลักษณะตรง ทำให้ขับถ่ายได้ง่ายและไม่มีอุจจาระเหลือค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ แต่หากที่บ้านมีแต่ส้วมชักโครก แนะนำให้นั่งโค้งตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย เพื่อให้มีแรงเบ่งมากขึ้น หรืออาจหากล่องมาวางเท้า จะได้ยกเข่าให้สูงขึ้น 


วิธีบริหารกาย ช่วยคลายท้องผูก

          ลองฝึกบริหารร่างกายดู วิธีนี้จะช่วยให้คนมีปัญหาท้องผูก สามารถขับถ่ายได้ดีขึ้น

          - ขั้นที่ 1 ให้นอนหงายกับพื้น มือทั้งสองวางรองไว้ใต้ศีรษะ ขาทั้งสองวางชิดกัน แล้วยกขึ้นช้า ๆ ให้ตั้งฉากกับลำตัว นับ 1-10 แล้วค่อย ๆ วางลง ทำซ้ำ 6 ครั้ง

          - ขั้นที่ 2 มือทั้งสองกางออกข้างลำตัว แล้วค่อย ๆ ยกขาขึ้นตั้งฉากกับลำตัว วางขาทั้งสองลงด้านข้างทางขวา นับ 1-5 ยกขึ้นตั้งฉาก แล้วสลับทำอีกข้าง จากนั้นค่อย ๆ วางขาทั้งสองลงบนพื้น ผ่อนคลายสักครู่ แล้วทำซ้ำ 3-5 ครั้ง

อาหารแก้ท้องผูก มีอะไรที่ได้ผล !


อาหารแก้ท้องผูก

อาหารแก้ท้องผูก มีอะไรที่ได้ผล !
           มะขามเปียก นำมาขยำกับน้ำสุกประมาณ 3 แก้ว จะได้น้ำมะขามข้น ๆ เติมเกลือลงไป 1 ช้อนกาแฟ แล้วดื่มให้หมดก่อนนอนสัก 1-2 ชั่วโมง จะช่วยทำให้ถ่ายง่าย หรือหากไม่ได้ท้องผูกมาก ๆ ก็นำมะขามเปียกแกะเมล็ดแล้วมาจิ้มเกลือกินสัก 5-10 ฝัก แล้วดื่มน้ำตามมาก ๆ ก็ช่วยได้

           มะขามแขก มีฤทธิ์เป็นยาระบายเช่นกัน โดยใช้ใบแห้ง 1-2 หยิบมือ หรือใช้ฝัก 4-5 ฝัก หักเป็นชิ้นเล็ก ๆ ต้มกับน้ำ 1 ถ้วย นาน 15 นาที ดื่มก่อนนอน ถ้ามีอาการแน่นจุกเสียดให้ใช้ร่วมกับยาขับถ่าย เช่น ขิงแก่ กระวาน หรือกานพูล เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่มีอาการท้องผูกประจำ แต่ถึงกระนั้นก็ควรระวัง อย่ารับประทานมะขามติดต่อกันนานเกินไป ควรใช้รักษาอาการท้องผูกเป็นครั้งคราวเท่านั้น เพราะจะทำให้ขาดธาตุโปแตสเซียม และทำลายระบบประสาทที่ควบคุมการบีบตัวของลำไส้

           ลูกพรุนแห้ง ให้รับประทานทั้งผล เพื่อจะได้กากอาหาร หรือดื่มเป็นน้ำลูกพรุนก็ได้ โดยควรรับประทานตอนกลางคืนก่อนเข้านอน แต่ไม่ควรทานมากเกินไป หรือทานบ่อยเกินไป เพราะถึงแม้จะมีกากใยมาก แต่ก็มีปริมาณน้ำตาลสูงมาก ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงอยู่แล้วควรหลีกเลี่ยง 

           แอปเปิลเขียว มีเส้นใยอาหารมาก สามารถกินทั้งผลหรือปั่นทั้งกากก็ได้ 1 ผล ให้ใยอาหาร 4.4 กรัม

           ถั่วดำ ถือเป็นธัญพืชที่มีใยอาหารสูงมาก โดยถั่วดำต้มหรือนึ่ง 1 ถ้วย มีใยอาหารมากถึง 15 กรัม 

           สับปะรด และมะละกอ มีน้ำย่อยช่วยกัดกากคราบโปรตีนเก่า ๆ ที่ถูกย่อยไม่หมด ทำให้ขับถ่ายได้ดีขึ้น

           เม็ดแมงลัก ตักออกมาสัก 2 ช้อนชา แช่ในน้ำเปล่า 1 แก้ว (250 ซี.ซี.) ให้พองตัวเต็มที่ แล้วค่อยดื่มช่วงก่อนนอน จะช่วยให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น เพราะแมงลักมีเมือกหล่อลื่น ช่วยให้อุจจาระอ่อนตัว แต่อย่างไรก็ตาม ต้องรอให้แมงลักพองตัวเต็มที่เท่านั้นจึงทานได้ หากเม็ดแมงลักยังพองตัวไม่เต็มที่แล้วเราทานเข้าไป เม็ดแมงลักจะไปดูดน้ำจากกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้อุจจาระแข็งและอุดตันเกิดอาการท้องผูกมากขึ้น
 
           ขี้เหล็ก ขี้เหล็กเป็นสมุนไพรมีฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ ช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้นเหมาะสำหรับผู้สูงอายุซึ่งมักจะนอนไม่หลับ รับประทานอาหารไม่ได้ และมีอาการท้องผูก ให้นำใบอ่อนหรือดอกตูมมาประกอบอาหารรับประทาน หรือจะนำใบขี้เหล็ก 4-5 กำมือ มาต้มกับน้ำพอท่วม แล้วดื่มก่อนนอนก็ได้

           กล้วยน้ำว้าสุก เป็นผลไม้ที่มีสารเพกทินสูง ช่วยเพิ่มกากอาหาร และยังมีเมือกลื่นทำให้ขับถ่ายได้สะดวกขึ้น ควรทานทุกวัน ๆ ละ 2-4 ผล  

           มะเฟือง ผลไม้รสเปรี้ยวชนิดนี้สามารถบรรเทาอาการท้องผูกได้เช่นกัน เพราะมีฤทธิ์เป็นยาระบาย และยังช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารด้วย โดยให้ทานมะเฟือง 2-3 ลูก ขณะท้องว่าง

           เมล็ดแฟลกซ์ (flaxseed) อาจโรยลงในซีเรียล หรือสลัด เมื่อทานแล้วจะไปพองตัวในร่างกาย ช่วยดูดซึมของเหลว และไปเพิ่มกากอาหารให้กับอุจจาระ
 
           ชุมเห็ดเทศ เป็นสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์เป็นยาระบายชั้นเลิศอีกหนึ่งตัว โดยให้ใช้ดอกสดมาต้มจิ้มกินกับน้ำพริก หรือนำใบสดไปหั่นตากแห้ง แล้วนำไปต้มดื่มเป็นน้ำชาก็ได้ 

จริงหรือไม่? นอนให้น้ำเกลือ ทำให้บวม-อ้วน

จริงหรือไม่? นอนให้น้ำเกลือ ทำให้บวม-อ้วน

จริงหรือไม่? นอนให้น้ำเกลือ ทำให้บวม-อ้วน
เจ็บป่วยต้องนอนโรงพยาบาลเมื่อไร ก็ต้องโดนให้ทุกครั้ง แต่มีความเชื่อกันอยู่ว่า การนอนให้น้ำเกลือ ทำให้เราบวม หรืออ้วนขึ้น เรื่องนี้จริงเท็จแค่ไหน ไปฟังคำตอบจากรายการ Happy and Healthy กันค่ะ
น้ำเกลือ คืออะไร?
น้ำเกลือ คือของเหลวที่ประกอบด้วยน้ำ วิตามิน กลูโคส และเกลือแร่ ในบางครั้งอาจมีการใส่ยาลงไปด้วย เพื่อการรักษาผู้ป่วยในบางกรณี
น้ำเกลือจะถูกปรับให้เข้มข้นใกล้เคียงกันกับเลือดของคนเราให้มากที่สุด เพื่อความปลอดภัยของตัวผู้ป่วยเอง

ให้น้ำเกลือ เพื่ออะไร?
ตามปกติแล้ว ในร่างกายของผู้ป่วยจะมีการสูญเสียน้ำอยู่แล้ว หากผู้ป่วยสามารถดื่มน้ำ รับประทานอาหารได้ตามปกติ แต่โดยปกติแล้วผู้ป้วยที่นอนโรงพยาบาลมักมีอาการที่ทำให้ทานอาหารได้น้อยลง หรือลำบากมากยิ่งขึ้น เช่น มีอาการอาเจียน ท้องเดิน ไข้สูง หรือเสียเลือดจากอุบัติเหตุ น้ำเกลือจึงเป็นสารอาหารทดแทนในยามที่ผู้ป่วยอาจทานอาหารได้น้อยลง

การให้น้ำเกลือ ทำให้บวม-อ้วนขึ้น จริงหรือ?
ผู้ป่วยที่โดนให้น้ำเกลือ อาจรู้สึกว่าตัวเองมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น แต่จะเป็นอาการแค่ในชั่วขณะนั้นแค่เพียงช่วงเดียวสั้นๆ เมื่อร่างกายกลับมาทำงานตามปกติ อวัยวะที่ทำหน้าที่ในการขับน้ำออกจากร่างกายทำงานตามปกติ ร่างกายก็จะกลับมาเข้าสู่สภาพปกติได้ในเวลาไม่นาน
แต่หากอวัยวะที่ทำหน้าที่ขับน้ำออกจากร่างกายทำงานได้ไม่ปกติ อาจทำให้ผู้ป่วยท่านนั้นมีอาการบวมน้ำได้ แต่โดยปกติทั่วไปหากอยู่ในความดูแลของแพทย์ และพยาบาลตลอดการรักษาที่โรงพยาบาล ผู้ป่วยจะได้รับการดูแล ปรับระดับการให้น้ำเกลืออย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันอาการบวมน้ำอยู่แล้ว
โดยเฉลี่ยแล้ว น้ำเกลือส่วนที่เหลือในร่างกาย จะถูกกำจัดออกไปภายใน 24 ชั่วโมง

คราวนี้ถ้าจะต้องนอนโรงพยาบาล แล้วโดนให้น้ำเกลือ ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้บวมหรืออ้วนกันอีกต่อไปแล้วล่ะค่ะ

10 ประโยชน์ “เห็ดเข็มทอง” ลดน้ำหนัก-เบาหวาน

10 ประโยชน์ “เห็ดเข็มทอง” ลดน้ำหนัก-เบาหวาน

10 ประโยชน์ “เห็ดเข็มทอง” ลดน้ำหนัก-เบาหวาน
“เห็ดเข็มทอง ทำอะไรก็อร่อย” เราเป็นคนหนึ่งที่เชื่ออย่างนั้นค่ะ เพราะไม่ว่าจะต้ม ผัด แกง ทอด ยำ นึ่ง ใส่ลงไปในเมนูไหนก็อร่อยไปหมด แล้วที่สำคัญ เห็ดเข็มทอง ไม่ได้อร่อยแต่เพียงอย่างเดียว เพราะยังมีประโยชน์อีกมากมาย ที่อ่านแล้วคุณต้องอยากพุ่งตัวออกไปซื้อมาทำทานทันที จะมีอะไรบ้าง มาดูกันค่ะ

10 ประโยชน์ “เห็ดเข็มทอง”
1. ช่วยดักจับไขมันส่วนเกินในเลือด จึงช่วยลดน้ำหนักได้ และยังป้องกันโรคอ้วนได้อีกด้วย
2. ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น
3. บำรุงผิวพรรณให้มีน้ำมีนวลขึ้น
4. ช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย
5. รักษาโรคตับ กระเพาะอาหาร และลำไส้เรื้อรัง
6. มีสารเฟรมมูลิน (Flammulin) ที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
7. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันโรคให้กับร่างกาย
8. ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ จึงเหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
9. บำรุงสมอง เสริมสร้างความจำให้ดีขึ้น
10. กระตุ้นการทำงานของระบบเผาผลาญในร่ายกาย ช่วยให้ร่างกายดูดซับสารอาหารได้ดียิ่งขึ้น

ถึงแม้ว่าเห็ดเข็มทองจะทำอาหารได้อร่อยทุกเมนู แต่อย่าลืมว่าเห็ดเข็มทอง ต้องล้างให้สะอาด ตัดรากออก และต้องทำให้สุกก่อนทานนะคะ อย่าเผลอทานดิบล่ะ

“บัวหิมะ” พืชมหัศจรรย์ ลดไขมัน-น้ำตาล-ความดันสูง

“บัวหิมะ” พืชมหัศจรรย์ ลดไขมัน-น้ำตาล-ความดันสูง

“บัวหิมะ” พืชมหัศจรรย์ ลดไขมัน-น้ำตาล-ความดันสูง
หากพูดถึง “บัวหิมะ” เชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้จักในแบบของครีมบัวหิมะที่บรรจุอยู่ในกระปุก อาจจะซื้อตอนอยู่ในไทย หรือไม่ก็ตอนไปเที่ยวประเทศจีน แต่จริงๆ แล้วบัวหิมะที่เป็นพืชสดๆ ไม่ใช่ครีมบัวหิมะ มีประโยชน์ในด้านของสุขภาพมากเลยทีเดียว

บัวหิมะ จัดเป็นพืชประเภทหัวที่ทานสดๆ ได้ มีรสชาติดีคล้ายมันแกวผสมแห้ว และสาลี่ เต็มไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่มากมาย
1. มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงช่วยบำรุงผิวพรรณให้เต่งตึง และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้
2. ช่วยชะลอความเสื่อมของของร่างกาย ทำให้เราคงความอ่อนเยาว์ และแก่ช้าลง
3. ให้แคลอรี่ต่ำ แต่ใยอาหารมาก จึงเหมาะสุดๆ กับผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก
4. เนื่องจากมีใยอาหารสูง จึงช่วยให้การขับถ่ายคล่องตัวมากขึ้น
5. ช่วยลดไขมันในเลือด และลดน้ำตาลในเลือดได้
6. ป้องกันโรคไขมันอุดตันเส้นเลือด เส้นเลือดตีบตัน และโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับบหัวใจ และหลอดเลือดได้
7. ลดระดับความดันโลหิตได้

สหรัฐแนะ เด็กอายุก่อน 1 ขวบ เริ่มทาน "ถั่วลิสง"

สหรัฐแนะ เด็กอายุก่อน 1 ขวบ เริ่มทาน "ถั่วลิสง"

สหรัฐแนะ เด็กอายุก่อน 1 ขวบ เริ่มทาน "ถั่วลิสง"
ลิสงเป็นอาหารว่่างยอดนิยมอย่างหนึ่ง ในสหรัฐอเมริกา เเซนวิชเนยถั่งลิสงกับแยมเจลลี่หรือที่เรียกว่า peanut butter and jelly sandwich เป็นอาหารกลางวันที่ขายในโรงอาหารของโรงเรียน
บรรดากุมารเเพทย์ในสหรัฐฯ เเนะนำไม่ให้เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ รับประทานอาหารที่มีถั่วลิสงผสม แต่การศึกษาที่จัดทำเมื่อปี ค.ศ. 2015 ในอังกฤษพบว่า การรอนานเกินไปน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุที่ทำให้เด็กแพ้ถั่วลิสง
ด็อกเตอร์แอนโธนี่ เฟาชี่ แห่งสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (National Institute of Allergies and Infectious Diseases) กล่าวว่าการศึกษาของทีมวิจัยอังกฤษ เปรียบเทียบอัตราการเกิดอาการแพ้ถั่วลิสงในเด็กในประเทศอิสราเอล กับเด็กชาวยิวในประเทศอังกฤษ เเล้วพบว่าเด็กในอิสราเอลเริ่มรับประทานอาหารที่มีถั่งลิสงผสมตั้งเเต่อายุเพียงไม่กี่เดือน
และเมื่อเทียบกันเเล้ว พบว่าอาการแพ้ถั่วลิสงในเด็กชาวอิสราเอลในประเทศอิสราเอลน้อยลงมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับเด็กชาวอิสราเอลที่อาศัยในประเทศอังกฤษ

ผลการวิจัยที่น่าสนใจนี้ชี้ว่า เด็กทารกมีระบบหรือกระบวนการในร่างกายที่สามารถฝึกไม่ให้ตอบสนองทางลบต่อถั่วลิสงได้ ระบบนี้อาจจะหมดไปเมื่อเด็กอายุครบ 1 ปี
เขากล่าวว่าผลการศึกษานี้ทำให้คณะกรรมการซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญ เห็นด้วยกับการออกข้อเสนอเเนะใหม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เเก่กุมารแพทย์ในสหรัฐฯ ที่เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้ในเด็ก
ด็อกเตอร์แอนโธนี่ เฟาชี่ ผู้อำนวยการแห่งสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติ กล่าวว่าหากเด็กมีประวัติของภูมิแพ้ที่ผิวหนัง หรือเเพ้ไข่อย่างรุนแรง ในช่วงอายุ 4 – 6 เดือน ผู้ปกครองควรพาบุตรไปพบเเพทย์เพื่อตรวจผิวหนังหรือเลือด เพื่อระบุให้ได้ว่าเด็กแพ้ถั่วลิสงร่วมด้วยหรือไม่
หากเเพ้ถั่วลิสงด้วย เด็กคนดังกล่าวไม่ควรทดลองกินอาหารที่มีถั่วลิสงเป็นอันขาด เเต่หากพบว่าไม่เเพ้ถั่วลิสง ก็ถือว่าปลอดภัยที่จะทดลองให้เด็กรับประทานอาหารที่มีถั่วลิสงผสมในช่วงอายุ 4 – 6 เดือน

หากทารกมีอาการภูมิเเพ้ที่ผิวหนัง และเเพ้ไข่ในระดับปานกลางถึงอ่อนๆ เป็นไปได้ว่ากุมารเเพทย์อาจจะเเนะนำให้เด็กลองรับประทานอาหารที่มีถั่งลิสงผสมได้เมื่ออายุครบ 6 เดือน เเละเด็กคนดังกล่าวอาจจะไม่จะเป็นต้องเข้ารับการตรวจหาอาการภูมิเเพ้ก็ได้
ส่วนเด็กคนที่ไม่มีอาการภูมิแพ้ใดๆ หรือไม่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว สามารถทดลองรับประทานอาหารที่มีถั่วลิสงเป็นส่วนประกอบได้โดยไม่กำหนดระดับอายุ

5 อาหารช่วยย่อย ลดแน่นท้อง หลังจัดบุฟเฟ่ต์

5 อาหารช่วยย่อย ลดแน่นท้อง หลังจัดบุฟเฟ่ต์

5 อาหารช่วยย่อย ลดแน่นท้อง หลังจัดบุฟเฟ่ต์
หลังจากรับประทานมื้อใหญ่ หลายๆ คนก็อยากจะย้ายพุงขึ้นเตียงนอนทันที เพราะมันทั้งง่วง ทั้งแน่น อิ่มอืดอัดท้องไปหมด อาการแบบนี้ เชื่อเถอะว่าคุณนอนไม่เป็นสุขหรอก ทางที่ดี เรามาหาวิธีที่จะทำให้ท้องคุณสบายขึ้นก่อนจะดีกว่า และวิธีที่ว่านั้นก็คือ การกิน ใช่คุณอ่านไม่ผิดหรอก กิน
หลังจากที่ผ่านการกินชุดใหญ่ไปหมาดๆ การจะให้กินเข้าไปอีก ช่างฟังดูไม่ค่อยจะเป็นแนวคิดที่ดีเลยว่าไหม? แต่ในความเป็นจริงแล้ว คุณต้องเอาอาหารที่ดี มาสู้กับอาหารไม่ดีที่กินเข้าไปจนแน่น และ 5 อาหารต่อไปนี้ จะช่วยทำให้ท้องไส้จัดระเบียบตัวเองได้ดีขึ้น หลังจากผ่านศึกหนักมาเต็มที่
  1. เปปเปอร์มินท์
    mint-chewing-gum.jpg


    เคยได้รับลูกอมรสมินท์จากร้านบุฟเฟ่ต์ไหม ลูกอมรสเปปเปอร์มินท์ จะช่วยลดแก๊สในกระเพาะอาหาร ลดอาการคลื่นไส้ และช่วยกระตุ้นการย่อยอาหารให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ความเย็นของเปปเปอร์มินท์ จะช่วยให้ท้อง และหลอดอาหารผ่อนคลาย ช่วยขับกรดให้ออกมาย่อยอาหารในท้องได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นหากรู้สึกอิ่ม แน่น ชาเปบเปอร์มินท์สักถ้วย หรือแม้กระทั่งหมากฝรั่ง ลูกอมเปปเปอร์มินท์ช่วยคุณได้แน่นอน
  2. ไข่เจียวผัก

    veggie-omelette.jpg


    เมนูแปลกไปสักหน่อย แต่เรามีเหตุผลนะ และเราไม่ได้ให้ทานหลังบุฟเฟต์ทันที แต่เป็นมื้อเช้าของวันถัดไปต่างหาก
    เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไปในปริมาณมาก อินซูลินก็จะสูงตามไปด้วย และตามมาด้วยระดับน้ำตาลในเลือดที่ลดลง ซึ่งนั่นจะทำให้เรารู้สึกหิวในตอนเช้า เมื่อเป็นเช่นนั้น แทนที่คุณจะรีบวิ่งไปหาซีเรียลมารับประทาน ให้เปลี่ยนเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูงอย่างไข่ ซึ่งมีส่วนประกอบของกรดอะมีโนซิสเตอิน ซึ่งจะช่วยทำลายสารพิษในแอลกอฮอล์ และขับออกมาทางปัสสาวะ ส่วนใยอาหารในผัก เช่น ผักโขม มะเขือเทศ ก็จะช่วยให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดียิ่งขึ้น 
    มื้อเช้าหลังบุฟเฟ่ต์ควรงดอาหารจำพวกชีส และเบคอนก่อน เพราะอาหารที่มีไขมันสูงจะทำให้เกิดแก๊ส เกิดอาการท้องอืดได้
  3. โยเกิร์ต และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

    berries-yogurt.jpg


    อาหารอีกอย่างที่เราอยากให้กินในเช้าถัดไป อาหารเพื่อสุขภาพอย่างโยเกิร์ต เป็นทางเลือกที่ดีในการที่จะช่วยปลุกระบบการเผาผลาญอาหารของร่างกายในตอนเช้า ในโยเกิร์ตมีแบคทีเรียแล็คโตบาซิลัส ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับระบบลำไส้ ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในลำไส้ อันเกิดจากอาหารหวานและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่วนผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ก็ช่วยเผาผลาญเซลไขมัน จึงช่วยทำให้อาหารท้องอืดดีขึ้น คลายความอึดอัดแน่นท้องลงได้
  4. ชาเขียว

    green-tea.jpg

    หากต้องการกระตุ้นพลังงานในตอนเช้า ชาเขียวช่วยได้ นอกจากชาเขียวจะมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระแล้ว ยังช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากการรับประทานอาหารขยะมากเกินไป มีการศึกษาพบว่า ชาเชียวช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดมีความสมดุล ดังนั้นชาเขียวจะช่วยได้มาก เมื่อคุณผ่านการรับประทานของหวานและแอลกอฮอล์มาอย่างหนัก
  5. น้ำเปล่า

    drinking-water.jpg

    แน่นอนว่า น้ำเปล่าเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องไม่ลืมว่า มันมีความจำเป็นต่อเราอย่างเหลือเชื่อ น้ำเปล่าช่วยการทำงานในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนั้นเราต้องไม่ปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำ โดยเฉพาะในคืนที่ผ่านการรับประทานอย่างหนัก น้ำเปล่าจะช่วยชะล้างสารพิษ ช่วยระบบการย่อยอาหาร และต่อต้านอาการมีแก๊สในกระเพาะให้เราได้
แต่ทางที่ดีที่สุด คืออย่าทานอาหารหนักจนทำให้รู้สึกอึดอัดท้องเลยนะคะ ทานแต่พอดีอิ่ม และเลือกทานให้ครบ 5 หมู่ ให้ได้สารอาหารที่หลากลหายในแต่ละมื้อจะดีกว่า จะไม่ต้องทรมานหลังทานแบบนี้ไง

ง่วงนอนบ่อยๆ สัญญาณ 6 โรคอันตรายที่คุณอาจกำลังเผชิญโดยไม่รู้ตัว

ง่วงนอนบ่อยๆ สัญญาณ 6 โรคอันตรายที่คุณอาจกำลังเผชิญโดยไม่รู้ตัว

ง่วงนอนบ่อยๆ สัญญาณ 6 โรคอันตรายที่คุณอาจกำลังเผชิญโดยไม่รู้ตัว
หลายๆ คน โดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศ พอตกบ่ายก็เริ่มตาปรือ สัปหงก หรือบางทีก็ต้องลุกไปชงกาแฟดื่มแก้ ถ้านานๆ ทีง่วงทีก็พอจะเข้าใจได้ แต่ถ้าง่วงมันทุกวันเนี่ย ต้องลองเช็คสุขภาพแล้วล่ะค่ะ เพราะคุณอาจกำลังเป็นโรคบางอย่างหรือเปล่า จะมีโรคอะไรบ้าง ตาม Sanook! Health มาหาคำตอบกันค่ะ
1. โรคนอนไม่หลับ

ก็เพราะนอนไม่หลับ ก็เลยง่วง ลองสังเกตตัวเองดูนะคะว่าที่นอนไม่หลับ หรือนอนดึกมากๆ เนี่ย เป็นเพราะทำงานหนัก งานเยอะ หรือเครียดจนนอนไม่หลับหรือเปล่า ถึงทำให้วันต่อมาง่วงนอน เพราะนอนไม่เคยพอสักวัน ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ควรคลายเครียด ลดการทำงานในตอนกลางคืน หรือปรึกษาแพทย์ได้นะคะ

2. โรคอ่อนเพลีย /ล้าเรื้อรัง

เป็นขั้นกว่าของโรคนอนไม่หลับ ซึ่งก็หมายถึงการนอนไม่หลับติดต่อกันเป็นระยะเวลายาวนานนั่นเอง เมื่อร่างกายสะสมความอ่อนเพลียหนักขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังอาจมีสาเหตุจากการบริโภคอาหารประเภทแป้ง และน้ำตาลมากเกินไป จนส่งผลให้มีอาการเพลีย ล้า ง่วงนอน ความจำไม่ค่อยดี ปวดหัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และหลับไม่สนิท นอนเท่าไรก็ไม่พอ และกลุ่มวัยทำงานมีความเสี่ยงสูงที่สุด

3. โรคเบาหวาน

จากที่บอกไปแล้วว่าการบริโภคแป้ง และน้ำตาลสูงทำให้เกิดอาการง่วงนอนได้ นอกจากจะเป็นโรคล้าเรื้อรังแล้ว ยังอาจเป็นโรคเบาหวานได้อีกด้วย เพราะเลือดมีปริมาณน้ำตาลสูง และอาการง่วงนอนเป็นสัญญาณแรกๆ ที่แสดง หรือเตือนให้ร่างกายทราบว่ากำลังอยู่ในภาวะน้ำตาลในเลือดสูง นำไปสู่โรคเบาหวานได้ในอนาคตอันใกล้

4. โรคลมหลับ

อันนี้เป็นโรคง่วงนอนแบบจริงจังแล้วนะ คือง่วงนอนมากในตอนกลางวัน แต่ตอนกลางคืนกลับตาแป๋ว นอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิท หรือพอได้นอนปุ๊บก็ฝันทันที ซึ่งทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลงเรื่อยๆ ถ้าเป็นเด็กอาจถูกมองว่าเป็นเด็กขี้เกียจ พัฒนาการสมองช้า เรียนไม่เก่ง หรือถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็อาจมีประสิทธิภาพในการทำงานลดลง หรือแม้กระทั่งเป็นอันตรายต่อการใช่ชีวิต เช่น ง่วงระหว่างขับรถ หรือใช้เครื่องจักรกลต่างๆ นอกจากนี้ยังส่งผลถึงสุขภาพจิตที่อาจกลายเป็นคนหงุดหงิดงุ่นง่านง่าย จากการพักผ่อนไม่เพียงพออีกด้วย

5. โรคโลหิตจาง

ยิ่งผู้หญิงจะมีโอกาสเป็นโรคโลหิตจางได้ง่าย เพราะสาเหตุอาจมาจากการได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ไม่เพียงพอ (เพราะผู้หญิงเลือกกินมากกว่า) นอกจากนี้ยังสูญเสียโลหิตจากการมีประจำเดือนอีกด้วย ส่วนสาเหตุอื่นยังมาจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ จึงรู้สึกอ่อนเพลีย หน้ามืดบ่อย เหนื่อยง่าย และเชื่องช้า เซื่องซึม ไม่สดใส จึงทำให้รู้สึกง่วงนอนบ่อยๆ นั่นเอง

6. เป็นแผลในกระเพาะอาหาร หรืออวัยวะส่วนอื่นๆ ในร่างกาย

การสูญเสียเลือดในปริมาณมากๆ บ่อยๆ เช่น มีเลือดออกจากแผลในกระเพาะอาหาร หรืออาจจะสูญเสียเลือดจากการเป็นโรคริดสีดวงทวารบ่อยๆ อาจเป็นสาเหตุของอาการอ่อนเพลีย หรืออยู่ในภาวะโลหิตจางเรื้อรัง เลยแสดงอาการเหนื่อยง่าย หน้ามืด เป็นลมง่าย อ่อนแรง และง่วงหงาวหาวนอนได้เช่นกัน

แต่ละโรคไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยว่าไหมคะ ทางที่ดี หากลองปรับนาฬิกาชีวิตให้เป็นปกติ นอนให้เร็ว ตื่นให้เช้า หรือหากนอนไม่หลับลองเลี่ยง “7 สิ่งอันตรายที่ไม่ควรทำก่อนเข้านอน” (คลิกเพื่ออ่านบทความ) หรือทำความรู้จักกับ "ฮอร์โมนเมลาโทนิน" (คลิกเพื่ออ่านบทความ)  เพื่อให้นอนหลับได้ง่ายขึ้นก็ได้ค่ะ

10 เคล็ดลับลดความอ้วนง่ายๆ ด้วยการลดแคลอรี่

10 เคล็ดลับลดความอ้วนง่ายๆ ด้วยการลดแคลอรี่

10 เคล็ดลับลดความอ้วนง่ายๆ ด้วยการลดแคลอรี่
การลดแคลอรี่ลงทีละเล็กละน้อย อาจจะไม่ส่งผลให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างปัจจุบันทันด่วน แต่หากเราสามารถลดแคลอรี่ได้อย่างต่อเนื่อง เราจะเห็นผลในระยะยาวอย่างแน่นอน และ 10 วิธีดังต่อไปนี้ เป็นวิธีง่ายๆ ที่เราสามารถทำได้ทุกวัน โดยไม่ทำให้ชีวิตยุ่งยากขึ้นเลยแม้แต่น้อย

  1. ดื่มชา กาแฟ ไม่ใส่ครีม ไม่ใส่น้ำตาล
    มีการศึกษาพบว่า ผู้ที่ดื่มกาแฟดำ จะลดแคลอรี่ลงได้ถึง 69 กิโลแคลอรี่ต่อวัน เมื่อเทียบกับผู้ที่ดื่มชา กาแฟ ใส่ครีม และน้ำตาล รวมทั้งผสมส่วนผสมอื่นๆ ลงไปในเครื่องดื่ม ส่วนผู้ที่ดื่มชา โดยไม่ใส่ครีมและน้ำตาล ก็ลดแคลอรี่ได้ประมาณ 43 กิโลแคลอรี่ต่อวันเช่นกัน
  2. รับประทานอาหารเช้าที่มีใยอาหารมากขึ้น
    เราสามารถจะเลือกซีเรียล ที่มีส่วนผสมของใยอาหารสูง ซึ่งจะทำให้รู้อื่มเร็วขึ้น ปริมาณที่รับประทานเข้าไปก็อาจจะลดน้อยลง Kristi King ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการจาก Baylor College บอกว่า ข้าวโอ๊ต นับว่าเป็นทางเลือกที่ดีมาก ในปี 2015 มีการศึกษาพบว่า ผู้ที่รับประทานข้าวโอ๊ตเป็นอาหารเช้า จะลดปริมาณแคลอรี่ ได้มากกว่าการรับประทานคอนเฟล็กที่มีน้ำตาลถึง 31%
  3. เลิกดื่มน้ำหวาน น้ำอัดลม
    หากสามารถเลิกดื่มน้ำหวาน น้ำอัดลมได้ จะสามารถลดปริมาณแคลอรี่ได้ถึง 150 กิโลแคลอรี่ต่อวัน โดยเปลี่ยนมาเป็นน้ำเปล่า หรือน้ำผลไม้ที่หวานน้อยแทน 
  4. รับประทานโปรตีนได้ตลอดทั้งวัน
    อาหารจานหลักให้เน้นโปรตีน ของว่างก็เลือกโปรตีนได้เช่นถั่ว เมล็ดธัญพืช นม การรับประทานโปรตีนจะช่วยลดความหิวในระหว่างวัน ความรู้สึกอยากรับประทานของหวานก็จะลดลงไปได้ นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยจาก Academy of Nutrition and Dietetics ระบุว่า การรับประทานโปรตีนให้มากขึ้น จะช่วยให้รู้สึกอิ่มได้นานกว่าผู้ที่รับประทานโปรตีนน้อย
  5. ระมัดระวังในการเลือกน้ำสลัด
    บางคนงดแป้ง ข้าว ขนมปัง เพื่อมารับประทานผักหวังว่าจะทำให้บริมาณแคลอรี่ที่ร่างกายได้รับจะลดน้อยลง แต่กลับเลือกน้ำสลัดที่อุดมไปด้วยแคลอรี่ แถมยังเพิ่มรสชาติของสลัดด้วยการใส่ชีส เบคอน ผลไม้อบแห้งเข้าไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนมีปริมาณแคลอรี่สูงทั้งนั้น 
  6. สั่งอาหารมารับประทานก่อนที่จะรู้สึกหิว
    หากคุณสามารถที่จะสั่งอาหารมารับประทาน ที่บ้าน หรือที่ทำงานได้ ก็ให้สั่งในเวลาที่ท้องยังไม่หิว เพราะในปี 2016 มีการศึกษาพบว่า ผู้ที่สั่งอาหารก่อนเวลารับประทานประมาณ 1 ชั่วโมง มีแนวโน้มที่จะสั่งอาหารในปริมาณที่น้อยกว่าผู้ที่สั่งในเวลาที่จะรับประทาน หรือสั่งมาเพื่อรับประทานในทันที การรอจนกระทั่งหิวนั้น จะทำรู้สึกอยากรับประทาน อะไรๆ ก็น่ารับประทานไปหมด
  7. จัดห้องครัวให้สะอาดอยู่เสมอ
    นักวิจัยจากห้องปฏิบัติการอาหารของ Cornell University ศึกษาพบว่า ผู้หญิงที่ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีอยู่ในห้องครัวรกๆ จะรับประทานคุ๊กกี้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ซึ่งก็จะทำให้ได้รับแคลอรี่เพิ่มขึ้นมาประมาณ 52 กิโลแคลอรี่ เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่เข้าไปอยู่ในห้องครัวที่สะอาดเรียบร้อย ดังนั้นน่าจะเป็นการดีกว่าถ้า ผู้ที่ต้องการจะควบคุมน้ำหนักจัดห้องครัวให้สะอาดเรียบร้อย
  8. ทำอาหารรับประทานเองที่บ้าน
    ในปี 2015 มีการรายงานผลการศึกษาในวารสาร Public Health Nutrition ว่า คนที่ทำอาหารค่ำรับประทานเองที่บ้านสัปดาห์ละ 6-7 ครั้ง จะได้รับปริมาณแคลอรี่น้อยกว่าผู้ที่ทำอาหารเย็นรับประทานเองสัปดาห์ละครั้ง ประมาณ 150 กิโลแคลอรี่ต่อวัน ดังนั้น การทำอาหารเอง ก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพมากกว่า และได้รับประมาณแคลอรี่จากการรับประทานมื้อเย็นน้อยกว่า การซื้ออาหารรับประทาน หรือออกไปรับประทานข้างนอกบ้าน
  9. ลดปริมาณน้ำมันที่ใช้ทำอาหาร
    ไม่ว่าจะเป็นอาหารผัด อาหารทอด หากลดปริมาณการใช้น้ำมันลงได้ ก็จะทำให้เราได้รับปริมาณแคลอรี่จากอาหารน้อยลง อาจจะเลือกใช้กระทะที่ไม่ต้องใช้น้ำมัน หรือเลือกใช้สเปรย์น้ำมันสำหรับการทำอาหาร แทนการทอดอาหารในกระทะน้ำมันท่วมๆ เพราะน้ำมันเพียงแค่ 1 ช้อนโต๊ะ ก็มีปริมาณแคลอรี่ถึง 120 แคลอรี่แล้ว
  10. อย่ารับประทานอาหารหน้าจอทีวี
    การรับประทานอาหารมื้อเย็นหน้าจอทีวี รวมถึงการรับประทานของว่างพวกมันฝรั่งทอด ขนมจุบจิบหน้าจอทีวี เป็นพฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะมันจะทำให้เรารับประทานในปริมาณที่มากขึ้น และเรายังไม่ได้สนใจในปริมาณ หรือสัดส่วนที่ควรจะรับประทานด้วย และเคยมีการศึกษาในปี 2014 ของ JAMA Internal Medicine พบว่า ผู้ที่ดูภาพยนตร์แอคชั่น จะรับประทานและได้รับแคลอรี่มากกว่า ผู้ที่ดูรายการทอล์คโชว์