วันอังคารที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560

ท้องผูกทําไงดี แก้ง่าย ๆ แค่เปลี่ยนพฤติกรรม

ท้องผูก

ท้องผูกทําไงดี แก้ง่าย ๆ แค่เปลี่ยนพฤติกรรม

          เมื่อสาเหตุหลัก ๆ ของอาการท้องผูกเกิดจากพฤติกรรมของผู้นั้น การจะแก้ปัญหาก็ต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลมด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง ดังนี้ 
           1. ทานอาหารที่มีกากใยมาก ๆ เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ถั่ว ฟักทอง ลูกพรุน ข้าวโพด แอปเปิล ฝรั่ง มะละกอ เป็นต้น เพื่อจะช่วยเพิ่มเส้นใยการขับถ่าย โดยอาหารที่มีกากมากจะต้านทานการย่อยของน้ำย่อยที่จะไปดูดน้ำภายในลำไส้ใหญ่ ส่งผลให้ลำไส้บีบตัวขับถ่ายอุจจาระได้รวดเร็ว แนะนำให้ทานใยอาหาร 20-30 กรัมต่อวัน

           2. หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายได้เคลื่อนไหว และทำงานได้ดีขึ้น เมื่ออวัยวะต่าง ๆ ทำงานได้ดีขึ้น ก็จะไปส่งผลให้ลำไส้ขยับเคลื่อนไหวได้ดีขึ้นตามไปด้วย ทำให้อาหารส่งผ่านไปได้สะดวก หากนั่งนิ่งอยู่เฉย ๆ ลำไส้ไม่ได้เคลื่อนไหว กากอาหารเหล่านั้นก็จะยิ่งแข็งค้างอยู่ในลำไส้ ทำให้ท้องผูกได้ง่าย ทั้งนี้ หากไม่มีเวลามาก แนะนำให้เดินออกกำลังกายสัก 20-30 นาทีก็พอจะช่วยให้ลำไส้ได้เคลื่อนไหวแล้ว
 
           3. หากรู้สึกปวดอุจจาระให้เข้าห้องน้ำทันที อย่ากลั้นไว้ เพราะยิ่งรอนาน ยิ่งเพิ่มอาการท้องผูก 

           4. ฝึกเข้าห้องน้ำขับถ่ายทุกเช้าให้เป็นกิจวัตร โดยควรนั่งถ่ายอย่างผ่อนคลายประมาณ 10 นาที ไม่ควรเร่งรีบเกินไป 

           5. ดื่มน้ำให้มาก ๆ เราคงเคยได้ยินคนแนะนำให้ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว ซึ่งนอกจากจะช่วยเรื่องอื่น ๆ แล้ว การดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว ยังช่วยไม่ให้ท้องผูกด้วย เพราะน้ำจะไปช่วยให้กากอาหารอ่อนตัวลงได้ 

           6. งดดื่มน้ำชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้มีสารที่ทำให้ลำไส้บีบตัวน้อยลง แต่จะไปกระตุ้นให้ปัสสาวะบ่อย ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ ส่งผลให้อาการท้องผูกตามมา

           7. ยาระบาย หรือยาถ่าย สามารถใช้ได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ไม่ควรใช้เป็นระยะเวลานาน ๆ เพราะไม่ได้ช่วยรักษาอาการท้องผูกให้หายขาด แต่กลับยิ่งทำให้ร่างกายไม่ถูกกระตุ้นให้ขับถ่ายตามเวลาที่ควรจะเป็น เพราะลำไส้จะชินต่อยากระตุ้นพวกนี้ หากมีอาการท้องผูกขึ้นมาอีกก็ต้องใช้ยาแรงขึ้นเรื่อย ๆ

           8. พยายามลดความเครียดลง ทำจิตใจให้เบิกบาน แจ่มใส 

Tip เด็ด ๆ พิชิตอาการท้องผูก

วิธีแก้ท้องผูก

 Tip เด็ด ๆ พิชิตอาการท้องผูก
          - เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ยังไม่ต้องแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว (ห้ามดื่มน้ำเย็น) เพราะการดื่มน้ำตอนท้องว่างจะช่วยให้ลำไส้บีบรัดตัวได้ดีขึ้น ทำให้รู้สึกปวดอุจจาระ

          - บริหารร่างกายในตอนเช้า ด้วยการยืนตรง หายใจเข้าลึก ๆ แล้วก้มลง หายใจออก เอามือเท้าเข่าไว้ แขม่วท้องจนเหมือนหน้าท้องติดสันหลัง

          - ขณะนั่งอยู่บนโถส้วม ให้ใช้ฝ่ามือนวดหน้าท้อง โดยวนตามเข็มนาฬิกาหลาย ๆ รอบ แขม่วท้องไว้ด้วย 

          - ส้วมนั่งยองจะช่วยทำให้ขับถ่ายได้ง่ายกว่าส้วมชักโครก เพราะจะทำให้ลำไส้ใหญ่ส่วนปลายอยู่ในลักษณะตรง ทำให้ขับถ่ายได้ง่ายและไม่มีอุจจาระเหลือค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ แต่หากที่บ้านมีแต่ส้วมชักโครก แนะนำให้นั่งโค้งตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย เพื่อให้มีแรงเบ่งมากขึ้น หรืออาจหากล่องมาวางเท้า จะได้ยกเข่าให้สูงขึ้น 


วิธีบริหารกาย ช่วยคลายท้องผูก

          ลองฝึกบริหารร่างกายดู วิธีนี้จะช่วยให้คนมีปัญหาท้องผูก สามารถขับถ่ายได้ดีขึ้น

          - ขั้นที่ 1 ให้นอนหงายกับพื้น มือทั้งสองวางรองไว้ใต้ศีรษะ ขาทั้งสองวางชิดกัน แล้วยกขึ้นช้า ๆ ให้ตั้งฉากกับลำตัว นับ 1-10 แล้วค่อย ๆ วางลง ทำซ้ำ 6 ครั้ง

          - ขั้นที่ 2 มือทั้งสองกางออกข้างลำตัว แล้วค่อย ๆ ยกขาขึ้นตั้งฉากกับลำตัว วางขาทั้งสองลงด้านข้างทางขวา นับ 1-5 ยกขึ้นตั้งฉาก แล้วสลับทำอีกข้าง จากนั้นค่อย ๆ วางขาทั้งสองลงบนพื้น ผ่อนคลายสักครู่ แล้วทำซ้ำ 3-5 ครั้ง

อาหารแก้ท้องผูก มีอะไรที่ได้ผล !


อาหารแก้ท้องผูก

อาหารแก้ท้องผูก มีอะไรที่ได้ผล !
           มะขามเปียก นำมาขยำกับน้ำสุกประมาณ 3 แก้ว จะได้น้ำมะขามข้น ๆ เติมเกลือลงไป 1 ช้อนกาแฟ แล้วดื่มให้หมดก่อนนอนสัก 1-2 ชั่วโมง จะช่วยทำให้ถ่ายง่าย หรือหากไม่ได้ท้องผูกมาก ๆ ก็นำมะขามเปียกแกะเมล็ดแล้วมาจิ้มเกลือกินสัก 5-10 ฝัก แล้วดื่มน้ำตามมาก ๆ ก็ช่วยได้

           มะขามแขก มีฤทธิ์เป็นยาระบายเช่นกัน โดยใช้ใบแห้ง 1-2 หยิบมือ หรือใช้ฝัก 4-5 ฝัก หักเป็นชิ้นเล็ก ๆ ต้มกับน้ำ 1 ถ้วย นาน 15 นาที ดื่มก่อนนอน ถ้ามีอาการแน่นจุกเสียดให้ใช้ร่วมกับยาขับถ่าย เช่น ขิงแก่ กระวาน หรือกานพูล เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่มีอาการท้องผูกประจำ แต่ถึงกระนั้นก็ควรระวัง อย่ารับประทานมะขามติดต่อกันนานเกินไป ควรใช้รักษาอาการท้องผูกเป็นครั้งคราวเท่านั้น เพราะจะทำให้ขาดธาตุโปแตสเซียม และทำลายระบบประสาทที่ควบคุมการบีบตัวของลำไส้

           ลูกพรุนแห้ง ให้รับประทานทั้งผล เพื่อจะได้กากอาหาร หรือดื่มเป็นน้ำลูกพรุนก็ได้ โดยควรรับประทานตอนกลางคืนก่อนเข้านอน แต่ไม่ควรทานมากเกินไป หรือทานบ่อยเกินไป เพราะถึงแม้จะมีกากใยมาก แต่ก็มีปริมาณน้ำตาลสูงมาก ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงอยู่แล้วควรหลีกเลี่ยง 

           แอปเปิลเขียว มีเส้นใยอาหารมาก สามารถกินทั้งผลหรือปั่นทั้งกากก็ได้ 1 ผล ให้ใยอาหาร 4.4 กรัม

           ถั่วดำ ถือเป็นธัญพืชที่มีใยอาหารสูงมาก โดยถั่วดำต้มหรือนึ่ง 1 ถ้วย มีใยอาหารมากถึง 15 กรัม 

           สับปะรด และมะละกอ มีน้ำย่อยช่วยกัดกากคราบโปรตีนเก่า ๆ ที่ถูกย่อยไม่หมด ทำให้ขับถ่ายได้ดีขึ้น

           เม็ดแมงลัก ตักออกมาสัก 2 ช้อนชา แช่ในน้ำเปล่า 1 แก้ว (250 ซี.ซี.) ให้พองตัวเต็มที่ แล้วค่อยดื่มช่วงก่อนนอน จะช่วยให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น เพราะแมงลักมีเมือกหล่อลื่น ช่วยให้อุจจาระอ่อนตัว แต่อย่างไรก็ตาม ต้องรอให้แมงลักพองตัวเต็มที่เท่านั้นจึงทานได้ หากเม็ดแมงลักยังพองตัวไม่เต็มที่แล้วเราทานเข้าไป เม็ดแมงลักจะไปดูดน้ำจากกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้อุจจาระแข็งและอุดตันเกิดอาการท้องผูกมากขึ้น
 
           ขี้เหล็ก ขี้เหล็กเป็นสมุนไพรมีฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ ช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้นเหมาะสำหรับผู้สูงอายุซึ่งมักจะนอนไม่หลับ รับประทานอาหารไม่ได้ และมีอาการท้องผูก ให้นำใบอ่อนหรือดอกตูมมาประกอบอาหารรับประทาน หรือจะนำใบขี้เหล็ก 4-5 กำมือ มาต้มกับน้ำพอท่วม แล้วดื่มก่อนนอนก็ได้

           กล้วยน้ำว้าสุก เป็นผลไม้ที่มีสารเพกทินสูง ช่วยเพิ่มกากอาหาร และยังมีเมือกลื่นทำให้ขับถ่ายได้สะดวกขึ้น ควรทานทุกวัน ๆ ละ 2-4 ผล  

           มะเฟือง ผลไม้รสเปรี้ยวชนิดนี้สามารถบรรเทาอาการท้องผูกได้เช่นกัน เพราะมีฤทธิ์เป็นยาระบาย และยังช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารด้วย โดยให้ทานมะเฟือง 2-3 ลูก ขณะท้องว่าง

           เมล็ดแฟลกซ์ (flaxseed) อาจโรยลงในซีเรียล หรือสลัด เมื่อทานแล้วจะไปพองตัวในร่างกาย ช่วยดูดซึมของเหลว และไปเพิ่มกากอาหารให้กับอุจจาระ
 
           ชุมเห็ดเทศ เป็นสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์เป็นยาระบายชั้นเลิศอีกหนึ่งตัว โดยให้ใช้ดอกสดมาต้มจิ้มกินกับน้ำพริก หรือนำใบสดไปหั่นตากแห้ง แล้วนำไปต้มดื่มเป็นน้ำชาก็ได้ 

จริงหรือไม่? นอนให้น้ำเกลือ ทำให้บวม-อ้วน

จริงหรือไม่? นอนให้น้ำเกลือ ทำให้บวม-อ้วน

จริงหรือไม่? นอนให้น้ำเกลือ ทำให้บวม-อ้วน
เจ็บป่วยต้องนอนโรงพยาบาลเมื่อไร ก็ต้องโดนให้ทุกครั้ง แต่มีความเชื่อกันอยู่ว่า การนอนให้น้ำเกลือ ทำให้เราบวม หรืออ้วนขึ้น เรื่องนี้จริงเท็จแค่ไหน ไปฟังคำตอบจากรายการ Happy and Healthy กันค่ะ
น้ำเกลือ คืออะไร?
น้ำเกลือ คือของเหลวที่ประกอบด้วยน้ำ วิตามิน กลูโคส และเกลือแร่ ในบางครั้งอาจมีการใส่ยาลงไปด้วย เพื่อการรักษาผู้ป่วยในบางกรณี
น้ำเกลือจะถูกปรับให้เข้มข้นใกล้เคียงกันกับเลือดของคนเราให้มากที่สุด เพื่อความปลอดภัยของตัวผู้ป่วยเอง

ให้น้ำเกลือ เพื่ออะไร?
ตามปกติแล้ว ในร่างกายของผู้ป่วยจะมีการสูญเสียน้ำอยู่แล้ว หากผู้ป่วยสามารถดื่มน้ำ รับประทานอาหารได้ตามปกติ แต่โดยปกติแล้วผู้ป้วยที่นอนโรงพยาบาลมักมีอาการที่ทำให้ทานอาหารได้น้อยลง หรือลำบากมากยิ่งขึ้น เช่น มีอาการอาเจียน ท้องเดิน ไข้สูง หรือเสียเลือดจากอุบัติเหตุ น้ำเกลือจึงเป็นสารอาหารทดแทนในยามที่ผู้ป่วยอาจทานอาหารได้น้อยลง

การให้น้ำเกลือ ทำให้บวม-อ้วนขึ้น จริงหรือ?
ผู้ป่วยที่โดนให้น้ำเกลือ อาจรู้สึกว่าตัวเองมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น แต่จะเป็นอาการแค่ในชั่วขณะนั้นแค่เพียงช่วงเดียวสั้นๆ เมื่อร่างกายกลับมาทำงานตามปกติ อวัยวะที่ทำหน้าที่ในการขับน้ำออกจากร่างกายทำงานตามปกติ ร่างกายก็จะกลับมาเข้าสู่สภาพปกติได้ในเวลาไม่นาน
แต่หากอวัยวะที่ทำหน้าที่ขับน้ำออกจากร่างกายทำงานได้ไม่ปกติ อาจทำให้ผู้ป่วยท่านนั้นมีอาการบวมน้ำได้ แต่โดยปกติทั่วไปหากอยู่ในความดูแลของแพทย์ และพยาบาลตลอดการรักษาที่โรงพยาบาล ผู้ป่วยจะได้รับการดูแล ปรับระดับการให้น้ำเกลืออย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันอาการบวมน้ำอยู่แล้ว
โดยเฉลี่ยแล้ว น้ำเกลือส่วนที่เหลือในร่างกาย จะถูกกำจัดออกไปภายใน 24 ชั่วโมง

คราวนี้ถ้าจะต้องนอนโรงพยาบาล แล้วโดนให้น้ำเกลือ ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้บวมหรืออ้วนกันอีกต่อไปแล้วล่ะค่ะ

10 ประโยชน์ “เห็ดเข็มทอง” ลดน้ำหนัก-เบาหวาน

10 ประโยชน์ “เห็ดเข็มทอง” ลดน้ำหนัก-เบาหวาน

10 ประโยชน์ “เห็ดเข็มทอง” ลดน้ำหนัก-เบาหวาน
“เห็ดเข็มทอง ทำอะไรก็อร่อย” เราเป็นคนหนึ่งที่เชื่ออย่างนั้นค่ะ เพราะไม่ว่าจะต้ม ผัด แกง ทอด ยำ นึ่ง ใส่ลงไปในเมนูไหนก็อร่อยไปหมด แล้วที่สำคัญ เห็ดเข็มทอง ไม่ได้อร่อยแต่เพียงอย่างเดียว เพราะยังมีประโยชน์อีกมากมาย ที่อ่านแล้วคุณต้องอยากพุ่งตัวออกไปซื้อมาทำทานทันที จะมีอะไรบ้าง มาดูกันค่ะ

10 ประโยชน์ “เห็ดเข็มทอง”
1. ช่วยดักจับไขมันส่วนเกินในเลือด จึงช่วยลดน้ำหนักได้ และยังป้องกันโรคอ้วนได้อีกด้วย
2. ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น
3. บำรุงผิวพรรณให้มีน้ำมีนวลขึ้น
4. ช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย
5. รักษาโรคตับ กระเพาะอาหาร และลำไส้เรื้อรัง
6. มีสารเฟรมมูลิน (Flammulin) ที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
7. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันโรคให้กับร่างกาย
8. ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ จึงเหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
9. บำรุงสมอง เสริมสร้างความจำให้ดีขึ้น
10. กระตุ้นการทำงานของระบบเผาผลาญในร่ายกาย ช่วยให้ร่างกายดูดซับสารอาหารได้ดียิ่งขึ้น

ถึงแม้ว่าเห็ดเข็มทองจะทำอาหารได้อร่อยทุกเมนู แต่อย่าลืมว่าเห็ดเข็มทอง ต้องล้างให้สะอาด ตัดรากออก และต้องทำให้สุกก่อนทานนะคะ อย่าเผลอทานดิบล่ะ

“บัวหิมะ” พืชมหัศจรรย์ ลดไขมัน-น้ำตาล-ความดันสูง

“บัวหิมะ” พืชมหัศจรรย์ ลดไขมัน-น้ำตาล-ความดันสูง

“บัวหิมะ” พืชมหัศจรรย์ ลดไขมัน-น้ำตาล-ความดันสูง
หากพูดถึง “บัวหิมะ” เชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้จักในแบบของครีมบัวหิมะที่บรรจุอยู่ในกระปุก อาจจะซื้อตอนอยู่ในไทย หรือไม่ก็ตอนไปเที่ยวประเทศจีน แต่จริงๆ แล้วบัวหิมะที่เป็นพืชสดๆ ไม่ใช่ครีมบัวหิมะ มีประโยชน์ในด้านของสุขภาพมากเลยทีเดียว

บัวหิมะ จัดเป็นพืชประเภทหัวที่ทานสดๆ ได้ มีรสชาติดีคล้ายมันแกวผสมแห้ว และสาลี่ เต็มไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่มากมาย
1. มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงช่วยบำรุงผิวพรรณให้เต่งตึง และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้
2. ช่วยชะลอความเสื่อมของของร่างกาย ทำให้เราคงความอ่อนเยาว์ และแก่ช้าลง
3. ให้แคลอรี่ต่ำ แต่ใยอาหารมาก จึงเหมาะสุดๆ กับผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก
4. เนื่องจากมีใยอาหารสูง จึงช่วยให้การขับถ่ายคล่องตัวมากขึ้น
5. ช่วยลดไขมันในเลือด และลดน้ำตาลในเลือดได้
6. ป้องกันโรคไขมันอุดตันเส้นเลือด เส้นเลือดตีบตัน และโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับบหัวใจ และหลอดเลือดได้
7. ลดระดับความดันโลหิตได้

สหรัฐแนะ เด็กอายุก่อน 1 ขวบ เริ่มทาน "ถั่วลิสง"

สหรัฐแนะ เด็กอายุก่อน 1 ขวบ เริ่มทาน "ถั่วลิสง"

สหรัฐแนะ เด็กอายุก่อน 1 ขวบ เริ่มทาน "ถั่วลิสง"
ลิสงเป็นอาหารว่่างยอดนิยมอย่างหนึ่ง ในสหรัฐอเมริกา เเซนวิชเนยถั่งลิสงกับแยมเจลลี่หรือที่เรียกว่า peanut butter and jelly sandwich เป็นอาหารกลางวันที่ขายในโรงอาหารของโรงเรียน
บรรดากุมารเเพทย์ในสหรัฐฯ เเนะนำไม่ให้เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ รับประทานอาหารที่มีถั่วลิสงผสม แต่การศึกษาที่จัดทำเมื่อปี ค.ศ. 2015 ในอังกฤษพบว่า การรอนานเกินไปน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุที่ทำให้เด็กแพ้ถั่วลิสง
ด็อกเตอร์แอนโธนี่ เฟาชี่ แห่งสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (National Institute of Allergies and Infectious Diseases) กล่าวว่าการศึกษาของทีมวิจัยอังกฤษ เปรียบเทียบอัตราการเกิดอาการแพ้ถั่วลิสงในเด็กในประเทศอิสราเอล กับเด็กชาวยิวในประเทศอังกฤษ เเล้วพบว่าเด็กในอิสราเอลเริ่มรับประทานอาหารที่มีถั่งลิสงผสมตั้งเเต่อายุเพียงไม่กี่เดือน
และเมื่อเทียบกันเเล้ว พบว่าอาการแพ้ถั่วลิสงในเด็กชาวอิสราเอลในประเทศอิสราเอลน้อยลงมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับเด็กชาวอิสราเอลที่อาศัยในประเทศอังกฤษ

ผลการวิจัยที่น่าสนใจนี้ชี้ว่า เด็กทารกมีระบบหรือกระบวนการในร่างกายที่สามารถฝึกไม่ให้ตอบสนองทางลบต่อถั่วลิสงได้ ระบบนี้อาจจะหมดไปเมื่อเด็กอายุครบ 1 ปี
เขากล่าวว่าผลการศึกษานี้ทำให้คณะกรรมการซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญ เห็นด้วยกับการออกข้อเสนอเเนะใหม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เเก่กุมารแพทย์ในสหรัฐฯ ที่เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้ในเด็ก
ด็อกเตอร์แอนโธนี่ เฟาชี่ ผู้อำนวยการแห่งสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติ กล่าวว่าหากเด็กมีประวัติของภูมิแพ้ที่ผิวหนัง หรือเเพ้ไข่อย่างรุนแรง ในช่วงอายุ 4 – 6 เดือน ผู้ปกครองควรพาบุตรไปพบเเพทย์เพื่อตรวจผิวหนังหรือเลือด เพื่อระบุให้ได้ว่าเด็กแพ้ถั่วลิสงร่วมด้วยหรือไม่
หากเเพ้ถั่วลิสงด้วย เด็กคนดังกล่าวไม่ควรทดลองกินอาหารที่มีถั่วลิสงเป็นอันขาด เเต่หากพบว่าไม่เเพ้ถั่วลิสง ก็ถือว่าปลอดภัยที่จะทดลองให้เด็กรับประทานอาหารที่มีถั่วลิสงผสมในช่วงอายุ 4 – 6 เดือน

หากทารกมีอาการภูมิเเพ้ที่ผิวหนัง และเเพ้ไข่ในระดับปานกลางถึงอ่อนๆ เป็นไปได้ว่ากุมารเเพทย์อาจจะเเนะนำให้เด็กลองรับประทานอาหารที่มีถั่งลิสงผสมได้เมื่ออายุครบ 6 เดือน เเละเด็กคนดังกล่าวอาจจะไม่จะเป็นต้องเข้ารับการตรวจหาอาการภูมิเเพ้ก็ได้
ส่วนเด็กคนที่ไม่มีอาการภูมิแพ้ใดๆ หรือไม่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว สามารถทดลองรับประทานอาหารที่มีถั่วลิสงเป็นส่วนประกอบได้โดยไม่กำหนดระดับอายุ